|
|
วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558
สัปดาห์ที่ 21 ลักษณะทางเศรษฐกิจไทยสมัยรัตนโกสินทร์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ลักษณะทางเศรษฐกิจไทยสมัยรัตนโกสินทร์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ลักษณะทางเศรษฐกิจไทยสมัยรัตนโกสินทร์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ลักษณะทางเศรษฐกิจไทยสมัยรัตนโกสินทร์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง การสร้างและพัฒนาชาติด้านเศรษฐกิจ ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 คณะราษฎรได้กำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจปรากฏในหลัก 6 ประการ โดยขั้นแรกรัฐมอบหมายให้ หลวงประดิษฐ์ มนูธรรม ซึ่งมีใจความสำคัญว่า
1.รัฐบาลจะบังคับซื้อที่ดินทางกสิกรรมของราษฎรทั้งหมดโดยจ่ายเงินเป็นพันธบัตรรัฐบาล
2.รัฐจะจัดการเศรษฐกิจทั้งหมดในรูปของระบบสหกรณ์
3.บุคคลที่มีอายุระหว่าง 18-55 ปีจะเป็นข้าราชการทำงานให้รัฐตามความสามารถและ คุณวุฒิของตน โดยได้รับเงินเดือนจากรัฐบาลหรือสหกรณ์ตามที่กำหนดซึ่ง เค้าโครงเศรษฐกิจดังกล่าวไม่เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปรวมทั้งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว เพราะเป็นนโยบายของระบอบคอมมิวนิสต์จึงล้มเลิกไปในที่สุด ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
1.ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเริ่มก่อตัวช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 6 เพราะใช้เงินในการปรับปรุง หน่วยราชการและบำรุงศิลปวัฒนธรรมจำนวนมาก และมีรายรับลดลงเพราะเกิดปัญหาขัดแย้งในยุโรปจนนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1
2.สมัยรัชกาลที่ 7 เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเพราะสินค้าไทยขายไม่ได้ เพราะต่างชาติไม่มี การสั่งซื้อ 3.สมัยรัชกาลที่ 7 เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เกิดภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก ซึ่งกระทบถึง ประเทศไทยด้วย การแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำของรัชกาลที่ 7
1.ยุบเลิกหน่วยราชการ
2.ปลดข้าราชการออกบางส่วน
3.ยอมลดรายจ่ายประจำปีของพระองค์ จาก 9 ล้าน เหลือ 6 ล้าน และ 3 ล้านบาทในที่สุดแต่ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เพราะประเทศไทยขาดแคลนผู้ชำนาญการทางเศรษฐกิจและไม่มี แผนพัฒนาเศรษฐกิจ “ความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำของรัชกาลที่ 7 เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่คณะราษฎรอ้างเป็นสาเหตุในการปฏิวัติเมื่อปีพ.ศ.2475” เศรษฐกิจไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หลังการเปลี่ยนแปลงปกครอง พ.ศ.2475 เศรษฐกิจไทยเริ่มกระเตื้องขึ้น สมัยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ( ป. พิบูลสงคราม) เป็นนายกรัฐมนตรี มีนโยบาย สร้างชาติทางเศรษฐกิจ โดย
1.กระตุ้นให้ประชาชนช่วยตัวเองในทางเศรษฐกิจ เช่น ทำสวนครัว เลี้ยงสัตว์ ทำอุตสาหกรรมในครัวเรือน
2.โฆษณาคำขวัญ “ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ” เพื่อกระตุ้นให้คนไทยใช้สินค้าไทยและตื่นตัวในเรื่องชาตินิยม
3.เริ่มใช้นโยบาย รัฐวิสาหกิจ ตั้งโรงงานอุตสาหกรรม จำนวนมากมาย
4.สงวนอาชีพบางอย่างให้คนไทย เช่น ตัดผม
5.ตั้งกระทรวงอุตสาหกรรม และตั้งพระราชบัญญัติคุ้มครองอุตสาหกรรมในประเทศ เศรษฐกิจไทยระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยประสบความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจอย่างหนักเพราะ 1.การขนส่งหยุดชะงัก ทำให้ขาดแคลนสินค้า ยารักษาโรค น้ำมัน และสินค้า ไทยขายไม่ได้ 2.ญี่ปุ่นบังคับให้ไทยขายสินค้าให้ในราคาถูก ลดค่าเงินบาท 1 บาทเท่ากับ 1 เยน ญี่ปุ่นพิมพ์ธนบัตรไทยเอง นำมาใช้ในประเทศไทย ทำให้ไทยเกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง
3.ไทยเกิดน้ำท่วมอย่างหนัก ในเขตที่ราบภาคกลางทั้งหมด เศรษฐกิจไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ -ไทยประสบปัญหาทางเศรษฐกิจหลายอย่าง -รัฐบาลแก้ปัญหาโดยจัดทำโครงการชลประทานเจ้าพระยาใหญ่ (วางแผนไว้ในสมัยรัชกาลที่ 5) โดยกู้เงินจากธนาคารโลกในปี พ.ศ.2493 นำมาสร้างเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท สร้างเสร็จในปี พ.ศ.2500 สามารถส่งน้ำช่วยเหลือการเกษตรในพื้นที่ภาคกลาง - ในปีพ.ศ.2504 กู้เงินจากธนาคารโลก เพื่อนำมาสร้างเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก สร้างเสร็จในปีพ.ศ.2507 สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ในภาคกลางและภาคเหนือรวม 36 จังหวัดและส่งน้ำไปใช้ในการเกษตร เศรษฐกิจไทยภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ -ประเทศไทยเริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งแรกในปีพ.ศ.2504 เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นระบบ -แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ช่วงแรก มุ่งเน้นสร้างโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค ได้แก่ ทางหลวง ไฟฟ้า การชลประทาน การสื่อสาร โทรคมนาคม -ส่งเสริมการผลิตพืชไร่ ที่สำคัญได้แก่ มันสำปะหลัง ข้าวโพด ปอ อ้อย ฯลฯ -เกษตรกรเริ่มหันมาใช้เครื่องทุ่นแรง เช่น รถแทรกเตอร์ รถไถเดินตาม เครื่องสูบน้ำ ปุ๋ยเคมี เมล็ดพันธุ์ใหม่ๆ -มีอุตสาหกรรมเกิดใหม่หลายอย่าง เช่น สิ่งทอ ผลไม้กระป๋อง เครื่องใช้ไฟฟ้า การท่องเที่ยว ผลิตภัณฑ์ห้องเย็น -มีนโยบายลดการลงทุนด้านรัฐวิสาหกิจ โดยขายให้เอกชนดำเนินการเพราะรัฐทำแล้ว ขาดทุนเนื่องมาจากการฉ้อราษฎรบังหลวง ปัจจุบันเหลือเพียง
1.ไฟฟ้า
2.ประปา
3.โทรศัพท์
4.รถเมล์(ในกรุงเทพฯ)
5.รถไฟ
6.การบิน
7.ยาสูบ
8.สลากกินแบ่ง -ส่งเสริมให้เอกชนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนทุกอย่าง ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี มีต่างประเทศมาลงทุนในไทยมากมาย เช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน ยุโรป อเมริกา เศรษฐกิจไทยภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ -หลังจากใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ มาได้ 15 ปี (ฉบับที่ 1-3) ความเจริญกระจุกอยู่ที่ ส่วนกลาง ทำให้ชาวชนบทอพยพเข้าสู่เมือง ทำให้เกิดปัญหาประชากรหนาแน่น แหล่ง เสื่อมโทรม ในกรุงเทพ ทำให้เกิดปัญหามากมาย แผนพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4-5 จึงเน้นการกระจายรายได้ออกสู่ชนบท โดยขยาย อุตสาหกรรมและโครงการใหญ่ๆ สู่ภูมิภาค -หลังจากประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ มาได้ประมาณ 20 ปี มูลค่าส่งออกของไทยเพิ่มขึ้นถึง 15 เท่าตัว สินค้าใหม่ๆ ที่ทำรายได้สูง ได้แก่ สิ่งทอ อัญมณี แผงวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ประมงแช่แข็ง ไก่แช่แข็ง และรายได้จากการท่องเที่ยวซึ่งได้รับความนิยมสูงมาก ทำรายได้สูง- -ในปี พ.ศ.2524 ไทยมีการขุดพบหลุมก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ได้มีการเร่งรัดพัฒนาประเทศเพื่อเข้าสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (นิกส์) โดยส่งเสริม -โครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) สมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มุ่งเน้นให้เป็นอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก กำหนดให้ เขตมาบตาพุด จังหวัดระยอง เป็นแหล่งอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น โรงงานแยกก๊าซ ปิโตรเคมี ปุ๋ยเคมี กำหนดให้แหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เป็นที่ตั้งท่าเรือพาณิชย์และอุตสาหกรรม ขนาดกลางและย่อม เพื่อการส่งออก และมีหลายโครงการดำเนินเสร็จแล้วและมี โรงงาน อุตสาหกรรมเกิดขึ้นมากมาย -หลังจากเหตุการณ์อุทกภัยครั้งร้ายแรง ปีพ.ศ.2531 (ไต้ฝุ่นเกย์) พลเอกชาติชาย (Southern Seaboard) เพื่อพัฒนาทรัพยากร เช่น ยางพารา กาแฟ มะพร้าว ปาล์มน้ำมัน ดีบุก ก๊าซธรรมชาติและอุตสาหกรรมประเภทซ่อมเรือ ต่อเรือ ประมง การขนส่งเชื่อม ฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย การบริหารประเทศในยุคต่อๆมาจนถึงปัจจุบันต่างก็ยึดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหลัก จนถึงปัจจุบัน มีการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ.2545-2549) -เศรษฐกิจแบบฟองสบู่ เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นลักษณะที่ดูเหมือนเศรษฐกิจในประเทศขยายตัว แต่ไทยก็เป็นหนี้ต่างประเทศจำนวนมาก ประชาชนใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือย ผลเสียหายร้ายแรงของเศรษฐกิจแบบฟองสบู่
1.ค่าของเงินบาทเริ่มตกต่ำ แต่รัฐก็พยายามรักษาค่าเงินบาทสูงกว่าความเป็นจริง
2.สมัยพลเอกเชาวลิต ยงใจยุทธ” ประชาชนเรียกร้องให้ พลเอกเชาวลิต ยงใจยุทธ ลาออก
3.หลังจากพลเอกเชาวลิต ยงใจยุทธ ลาออก นายชวน หลีกภัย เข้ามารับหน้าที่แทน สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง แต่ไทยก็ยังเป็นหนี้ IMF และใช้หนี้ ต่อไปในปีพ.ศ.2542 เศรษฐกิจไทยเริ่มกระเตื้องขึ้นเล็กน้อย
4.ยุคของรัฐบาลที่นำโดย พรรคไทยรักไทย มีนายกรัฐมนตรี คือ ดร.ทักษิณ ชินวัตร สามารถแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ ในหลายด้าน จนภาวะเศรษฐกิจไทยดีขึ้น มีการลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมาก และที่สำคัญชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรดีขึ้น เพราะรัฐบาลนี้เห็นความสำคัญของคนจน และสามารถใช้หนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้สำเร็จในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2546 ซึ่งถือเป็นผลงานสำคัญของรัฐบาลชุดนี้ 5.ปัจจุบันเป็นยุคของรัฐบาลที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ มีนายกรัฐมนตรี คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นยุคที่ค่าเงินบาทแข็งค่า ปัจจุบันเกิดปัญหาราคาสินค้าอุปโภค บริโภค ขึ้นราคา ทำให้เกิดผลกระทบกับการดำรงชีวิตของประชาชนโดยทั่วไป โดยเฉพาะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันปาล์ม
สัปดาห์ที่ 20 สังคมวัฒนธรรมไทย สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
สังคมวัฒนธรรมไทย สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
สังคมวัฒนธรรมไทย สภาพสังคมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สภาพสังคมไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีลักษณะโครงสร้างไม่แตกต่างจากสมัยอยุธยาและธนบุรี ลักษณะโครงสร้างของสังคมไทยสมัยนี้ มีการแบ่งชนชั้น ถึงแม้จะไม่มีการแบ่งวรรณะอย่างอินเดีย แต่ฐานะความเป็นอยู่ของผู้คนก็แตกต่างกัน องค์ประกอบของสังคมไทยแบ่งเป็น 4 ชนชั้น
1. เจ้านาย ได้แก่ พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ พระมหากษัตริย์ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีลักษณะเป็นทั้งเทวราชาและธรรมราชา
2. ขุนนางและข้าราชการ
3. ไพร่ เป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก แบ่งเป็น ไพร่หลวง และไพร่สม
4. ทาส ชนชั้นต่ำสุดในสังคมไทย ไม่มีอิสระในการดำเนินชีวิต ชีวิตขึ้นอยู่กับนายทาส แบ่งเป็น ทาสเชลย ทาสในเรือนเบี้ย ทาสสินไถ่ ทาสได้มาแต่บิดามารดา ทาสที่เลี้ยงไว้เมื่อเกิดทุพภิกขภัย ทาสที่ช่วยมาจากทัณฑ์โทษ และทาสท่านให้ ทาสที่ทำความดีความชอบต่อบ้านเมืองสามารถเลื่อนฐานะตนเองสูงขึ้นเป็นขุนนางได้ ส่วนขุนนางที่ทำผิดก็สามารถลดฐานะลงเป็นทาสได้เช่นกัน
สัปดาห์ที่ 19 สังคมวัฒนธรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
สังคมวัฒนธรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
สังคมวัฒนธรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ ยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง การพัฒนาขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 มีการเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดในเรื่องการแต่งกาย ผู้ชายเริ่มแต่งกายแบบสากล คือสวมเสื้อนอกกระดุมห้าเม็ด กางเกงขายาวแบบสากล รองเท้าหุ้มส้นและสวมถุงเท้า ยกเลิกการนุ่งผ้าม่วงโจงกระเบนและเสื้อราชปะแตน นโยบายสร้างชาติทางวัฒนธรรมของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยหลายประการ คือ
1. การเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” เป็น “ประเทศไทย” ในปี พ.ศ.2482
2. ใช้คำว่า “ไทย” กับคนไทย และสัญชาติไทย
3. กำหนดให้วันที่ 24 มิถุนายน ซึ่งตรงกับวันเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็น “วันชาติไทย” เริ่มในปีพ.ศ.2482
4. เปลี่ยนเนื้อร้องเพลงชาติและเพลงสรรเสริญพระบารมี ไม่ให้มีคำว่า สยาม
5. ให้ยืนตรงเคารพธงชาติพร้อมกันทั่วประเทศ ในเวลา 08.00 น. เชิญธงชาติขึ้น และเวลา 18.00 น. ชักธงชาติลง
6. เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จาก “1 เมษายน” ตามแบบสากล เริ่ม พ.ศ.2484
7. การแต่งกาย ข้าราชการให้แต่งเครื่องแบบราษฎรทั่วไป
ผู้ชาย ให้สวมเสื้อนอกคอเปิดหรือปิด นุ่งกางเกงขายาว สวมหมวกปีกสวมถุงเท้า รองเท้า ผู้หญิง สวมเสื้อนอกคุมไหล่ นุ่งผ้าถุง ห้ามนุ่งโจงกระเบน
การแต่งกายไว้ทุกข์ในงานศพ
ผู้ชาย ใช้เสื้อขาว กางเกงขายาวขาว ผ้าผูกคอสีดำ สวมปลอกแขนสีดำ ที่แขนเสื้อด้านซ้าย สวมรองเท้าดำ ถุงเท้าดำ
ผู้หญิง ให้แต่งชุดดำล้วน
8. การกินอาหาร ให้ใช้ช้อนส้อมแทนการใช้มือเปิบ
9. ห้ามกินหมากโดยเด็ดขาด
10. ประกาศงดใช้พยัญชนะ 13 ตัว ได้แก่ ฃ ฅ ฒ ญ ฎ ฏ ฐ ฑ ฌ ศ ษ ฬ ตัดสระออก 5 ตัว ได้แก่ ฤ ฤา ฦ ฦา ใ แต่ในสมัย นายควง อภัยวงศ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็นำกลับมาใช้ใหม่ 11. ให้ใช้คำว่า ฉัน,เรา,เขา,ท่าน,มัน ใช้คำรับและปฏิเสธว่า จ้ะ,ค่ะ,ครับ,ไม่
12. ให้ใช้คำว่า “สวัสดี” ในโอกาสที่พบกัน
13. ยกเลิกบรรดาศักดิ์ เช่น เจ้าพระยา พระยา พระ หลวง ขุน ให้ใช้ชื่อและนามสกุลแทน
14. การตั้งชื่อบุคคลต้องให้เหมาะสมกับเพศและมีความยาวไม่เกิน 3 พยางค์
15. ตั้งกระทรวงวัฒนธรรม เมื่อ พ.ศ.2495 เพื่อส่งเสริมงานด้านวัฒนธรรม ภายหลังถูกยุบรวมกับกระทรวงศึกษาธิการ การฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณี (พ.ศ.2501-2506)สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี
1. พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา จัดให้มีพิธีเสด็จพระราชดำเนินตรวจพลสวนสนามของหน่วยทหารรักษาพระองค์ มีการตกแต่งโคมไฟและประดับธงชาติตามสถานที่ราชการ บ้านเรือน ห้างร้าน เพื่อถวายพระเกียรติ
2. ประกาศยกเลิกวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันชาติ และกำหนดวันชาติใหม่ คือ วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา ใช้มาจนถึงปัจจุบัน
3. ฟื้นฟูพระราชพิธีมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
4. ฟื้นฟูพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินทอดผ้าพระกฐินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค
5. ฟื้นฟูพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค การฟื้นฟูพระราชพิธีที่สำคัญ สมัยจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี
1. ฟื้นฟูพระราชพิธีรัชดาภิเษก ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติครบ 25 ปี ซึ่งรัชกาลที่ 5 เคยกระทำมาแล้ว
2. ฟื้นฟูพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ในปีพ.ศ.2515 โดยคณะรัฐบาลได้นำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ ทรงพระกรุณาสถาปนาเฉลิมพระบรมนามาภิไธย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ ดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ตามโบราณขัตติยราชประเพณี การศึกษาหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
1. รัชกาลที่ 7 เห็นความสำคัญของการศึกษาโดยไม่ตัดทอนรายจ่ายด้านการศึกษาเลย ถึงแม้จะประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างหนักก็ตาม
2. หลัก 6 ประการของคณะราษฎร ก็มีการกำหนดการพัฒนาการศึกษา โดยริเริ่ม วางแผนการศึกษาแห่งชาติ จัดให้มีการศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
3. ในปี พ.ศ.2477 จัดตั้ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นับเป็นมหาวิทยาลัยแห่งที่ 2 ของไทย ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 7
4. สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จัดตั้งสภาการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2503 ขยายการศึกษาภาคบังคับ จาก 4 ปี เป็น 7 ปี
5. ในปี พ.ศ.2520 ลดการศึกษาภาคบังคับ จาก 7 ปี เหลือ 6 ปี (ป.1-ป.6) และเพิ่มระดับมัธยมศึกษาจาก 5 ปี เป็น 6 ปี (ม.1-ม.6)
6. ปัจจุบันปีพ.ศ.2546 การศึกษาภาคบังคับเพิ่มขึ้นจาก 6 ปี เป็น 9 ปี (จบม.3)
7. ในปีพ.ศ.2514 รัฐบาลจัดตั้งมหาวิทยาลัยเปิด คือ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
8. ในปีพ.ศ.2521รัฐบาลจัดตั้งมหาวิทยาลัยเปิดแห่งที่ 2 คือมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
9. ส่งเสริมให้เอกชนจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ปัจจุบันมีจำนวนมากหลายแห่ง เช่น ในภาคเหนือ มีมหาวิทยาลัยพายัพ ที่จังหวัดเชียงใหม่
10. มหาวิทยาลัยที่ตั้งขึ้นล่าสุดในภาคเหนือที่ จังหวัดเชียงรายคือ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ตั้งขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติแด่ สมเด็จย่า (สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)
สัปดาห์ที่ 18 สังคมวัฒนธรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ยุคปฏิรูปบ้านเมือง
สังคมวัฒนธรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ยุคปฏิรูปบ้านเมือง
สังคมวัฒนธรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ยุคปฏิรูปบ้านเมือง สังคมวัฒนธรรมไทยสมัย การปรับปรุงทางด้านสังคมในสมัยรัชกาลที่ 4 (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นช่วงเวลาที่ชาวไทยเริ่มมีการปรับตัวทางด้านสังคมและวัฒนธรรมให้เข้ากับขนบธรรมเนียมประเพณีทางตะวันตกภายหลังจากที่ไทยทำสนธิสัญญาทางการค้ากับ ชาวตะวันตก อนุญาตให้ไพร่เสียเงินแทนการถูกเกณฑ์แรงงานเข้ารับราชการให้เสรีภาพแก่สตรีที่บรรลุนิติภาวะในการเลือกคู่ครองโดยพ่อแม่จะบังคับไม่ได้ห้ามพ่อแม่ขายบุตรเป็นทาสห้ามสามีขายภรรยาเป็นทาสโดยเจ้าตัวไม่สมัครใจให้นางแอนนา เลียวโนเวนส์ ชาวอังกฤษ ไปสอนภาษาอังกฤษให้กับพระราชโอรสและธิดาโปรดให้สตรีคณะมิชชันนารีผู้สอนศาสนาคริสต์เข้าไปสอนภาษาอังกฤษให้สตรีในราชสำนัก
1. ประกาศให้ข้าราชการสวมเสื้อเวลาเข้าเฝ้า
2. โปรดให้สร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขึ้นเพื่อเป็นของที่พระมหากษัตริย์พระราชทาน เป็นบำเหน็จรางวัลแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการไทย และชาวต่างประเทศ
3. ทรงเปลี่ยนแปลงพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา โดยพระองค์ทรงร่วมเสวยด้วย
4. ฟื้นฟูประเพณีการตีกลองร้องฎีกา เพื่อให้ทราบถึงทุกข์สุขของราษฎรโดยจะเสด็จ ออกมารับฎีกาด้วยพระองค์เอง ทุกวันโกณ เดือนละ 4 ครั้ง
5. ให้เสรีภาพแก่ประชาชนในการเลือกนับถือศาสนา
6. ให้เสรีภาพแก่ประชาชนในการเลือกประกอบอาชีพ
7. กำหนดให้ วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม เป็นวัดประจำรัชกาล ซึ่งรัชกาลที่ 4 ทรงสร้างขึ้นในเขตกรุงเทพมหานคร
8. รัชกาลที่ 4 ทรงก่อตั้งธรรมยุตินิกาย เมื่อครั้งยังผนวชที่วัดบวรนิเวศน์วิหาร ในสมัยรัชกาลที่ 3 การปรับปรุงด้านสาธารณสุขสมัยรัชกาลที่ 4 ด้านการสุขาภิบาล สมัยรัชกาลที่ 4 เริ่มมีการสุขาภิบาลตามคำแนะนำของบาทหลวงมิชชันนารีบ้างแล้ว แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด
วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558
แคว้นละโว้-อโยธยา
แคว้นละโว้-อโยธยา
นักวิชาการเชื่อว่า แคว้นละโว้-อโยธยาพัฒนามาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมืองของแคว้นทวารวดี ซึ่งเคยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองละโว้ และมีเมืองสำคัญรองลงมาคือเมืองราม หนังสือชินกาลมาลีปกรณ์กล่าวว่า เมื่อพระนางจามเทวีธิดากษัตริย์แห่งกรุงละโว้ทรงได้รับการอัญเชิญเสด็จฯไปครองเมืองหริภุญชัยนั้น พระสวามีของพระนางจามเทวีทรงครองเมืองราม หนังสือตำนานเมืองลำพูนกล่าวว่า พระนางจามเทวีทรงเป็นพระธิดาเลี้ยงและสะใภ้หลวงของพระเจ้าจักรพรรดิกษัตริย์แห่งลวรัฐ(กรุงละโว้) ส่วนพระสวามีของพระนางทรงเป็นอุปราชและปกครองเมือง“รามั(ญ)นคร” ตำนานเมืองลำพูนระบุว่า กษัตริย์แห่งเมืองลวรัฐทรงเป็น “พระมหากษัตริย์อโยทธยา”
หลักฐานจากพงศาวดารเหนือสนับสนุนข้อเสนอที่ระบุว่า ศูนย์กลางทางการปกครองของแคว้นละโว้ย้ายมายังเมืองอโยธยาบริเวณปากน้ำแม่เบี้ยทางฟากตะวันออกของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ทำให้เมืองละโว้เปลี่ยนฐานะกลายเป็นเมืองลูกหลวงจนถึงสมัยอยุธยา แต่ถึงกระนั้นจดหมายเหตุจีนก็ยังคงเรียกแคว้นแห่งนี้ว่าแคว้นหลอหูดังเดิม หนังสือชินกาลมาลีปกรณ์เรียกแคว้นอโยธยาว่า แคว้นกัมโพช เพื่อเน้นให้เห็นการเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมระหว่างแคว้นละโว้กับอาณาจักรกัมพูชาซึ่งมีมาแต่เดิม
การย้ายศูนย์จากเมืองละโว้มายังเมืองอโยธยาประมาณพุทธศตวรรษที่๑๘ อาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยผลักดันทางเศรษฐกิจ เมื่อการค้าขายทางทะเลกับจีนและดินแดนใกล้เคียงขยายตัว ทำให้เมืองอโยธยาซึ่งตั้งอยู่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำลพบุรี แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำน้อย กลายเป็นชุมทางสำคัญของการค้ากับแคว้นต่างๆทั้งภายในและภายนอก อีกทั้งยังเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ของพ่อค้าจากแหล่งวัฒนธรรมที่หลากหลายทั้งชาวจีน อินเดีย อาหรับและเปอร์เซีย
หลักฐานในพงศาวดารเหนือและคำให้การชาวกรุงเก่ากล่าวถึงการผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมามีอำนาจเหนือแคว้นอโยธยาของผู้ปกครองเชื้อสายต่างๆ อาทิ พระนารายณ์จากราชวงศ์ละโว้ พระยาโคตรบองจากแคว้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พระยาสินธพอมรินทร์และพระเจ้าสายน้ำผึ้งจากเชื้อสายสามัญชน เชื้อสายของพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์จากกัมพูชา หรือแม้แต่ในหลักฐานของวันวลิตก็ระบุว่า พระเจ้าอู่ทองทรงสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้ากรุงจีน เป็นต้น เรื่องราวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการผสมผสานทางวัฒนธรรมของแคว้นอโยธยาได้เป็นอย่างดี
ทางด้านความเชื่อทางศาสนานั้น พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ เสนอว่า แคว้นอโยธยาสืบทอดการนับถือศาสนาพุทธนิกายหินยานผสมผสานกับนิกายมหายานมาจากเมืองละโว้(ทวารวดี) ต่อมาได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธนิกายลังกาวงศ์ ดังปรากฏหลักฐานการขุดค้นทางโบราณคดีที่วัดมเหยงคณ์ ซึ่งสร้างก่อนเมืองพระนครศรีอยุธยาและมีชื่อตรงกับวัดมหิยังคณ์ในลังกา
แคว้นอโยธยายังคงรักษาจารีตดั้งเดิมที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยแคว้นละโว้ กล่าวคือ พระนามของพระมหากษัตริย์และเจ้านายมักจะเกี่ยวข้องกับความเชื่อในศาสนาพราหมณ์และวรรณกรรมเรื่องรามายณะ ได้แก่ สมเด็จพระรามาธิบดี หรือสมเด็จพระราเมศวร เป็นต้น หลักฐานกฎหมายเก่า รวมถึงวรรณคดีลิลิตโองการแช่งน้ำและโบราณสถานขนาดใหญ่จำนวนมากก็สะท้อนให้เห็นความเจริญทางวัฒนธรรมของแคว้นอโยธยา โดยเฉพาะซากเจดีย์โบราณซึ่งถูกครอบไว้ด้วยเจดีย์ใหญ่ชัยมงคล หรือการสร้างพระพุทธไตรรัตนนายกก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา ๒๖ ปีตามหลักฐานในพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์
ในปีพ.ศ. ๒๔๕๐พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เตชะคุปต์) สมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่าเสนอว่า ทางฟากตะวันออกของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณก่อน “สมัยกรุงเทพทวาราวดี(กรุงศรีอยุธยา)” ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๖๗ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายว่า พระเจ้าอู่ทองเสด็จฯมาสร้างเมืองอโยธยาเป็นราชธานี โดยทรงอ้างหลักฐานการสร้างพระพุทธรูป “พระเจ้าพะแนงเชิง” ในพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์การที่สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวถึงเมืองอโยธยา เป็นการอธิบายให้เห็นว่ารากฐานการเติบโตของอาณาจักรอยุธยาหรือ “กรุงเทพทวาราวดี” มีพัฒนาการสืบเนื่องมาจากเมืองอโยธยา
นักวิชาการจำนวนหนึ่งยังคงเชื่อว่า การศึกษาเรื่องราวยุคหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างการเสื่อมอำนาจทางการเมืองของอาณาจักรกัมพูชาในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่๑๘ ถึงพุทธศักราช ๑๘๙๓ เป็นช่วงของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์สมัยอโยธยา(ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙) แต่นักวิชาการอีกกลุ่มหนึ่งก็มีความเห็นว่า คำว่า “อโยธยา” กับ “อยุธยา” เป็นคำเรียกศูนย์กลางทางการเมืองรัฐเดียวกันแต่ต่างกันเพียงช่วงเวลาเท่านั้น โดยศาสตราจารย์ ดร. ประเสริฐ ณ นคร เสนอความเห็นว่า คำว่า “อโยธยา” เป็นคำเรียกเมืองพระนครศรีอยุธยาก่อนการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่๑ในปีพ.ศ.๒๑๑๒ หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งนั้นแล้ว “อโยธยา” จึงถูกเรียกว่า “กรุงศรีอยุธยา” นับแต่บัดนั้น
เมื่อระบุถึงเหตุการณ์ช่วงเสียกรุงในพ.ศ.๒๑๑๒ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาก็มิได้ระบุนามเมืองพระนครศรีอยุธยาว่า “อโยธยา”แต่อย่างใด ราชธานีแห่งนี้ยังคงถูกระบุนามว่า“กรุงศรีอยุธยา”สืบเนื่องมาโดยตลอด จึงชี้ให้เห็นว่ายังไม่ควรยึดถือข้อคิดเห็นข้างต้นเป็นข้อสรุป กล่าวคือ
“…ครั้นเถิงศักราช ๙๓๑ มะเส็งศก(พ.ศ.๒๑๑๒) ณ วันอาทิตย์ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน๙ เพลารุ่งแล้วประมาณ ๓ นาฬิกา ก็เสียกรุงพระนครศรีอยุธยาแก่พระเจ้าหงสา…”
นอกเหนือจากแคว้นต่างๆดังกล่าวข้างต้นแล้ว ดินแดนประเทศไทยในอดีตยังมีร่องรอยของแว่นแคว้นหรือรัฐโบราณซึ่งยังไม่สามารถหาหลักฐานมามาอธิบายได้อย่างเพียงพอ แม้ว่าบางรัฐจะปรากฏเรื่องราวอยู่ในตำนาน พงศาวดารหรือศิลาจารึก อาทิ แคว้นศรีจนาศะ แคว้นศรีโคตรบูรณ์ แคว้นอวัธยปุระและแคว้นศามพูกปัฏฏนะ เป็นต้น แต่ก็จำเป็นจะต้องอาศัยระยะเวลาในการศึกษาค้นคว้ากันต่อไป
แคว้นสุพรรณภูมิ
แคว้นสุพรรณภูมิ
อาคม พัฒิยะและนิธิ เอียวศรีวงศ์เชื่อว่า “เสียน” ในหลักฐานของวังต้ายวนเรื่อง “บันทึกย่อเผ่าชาวเกาะ” หมายถึง “แคว้นสุพรรณภูมิ “ บันทึกของวังต้ายวนระบุว่า “ครั้นเมื่อเดือนที่๕ ของฤดูร้อนแห่งรัชกาลจื้อเจิ้ง ปีฉลู(พ.ศ.๑๘๙๒) เสียนยอมจำนนต่อหลอหู(ละโว้)” ข้อความนี้สอดคล้องกับหลักฐานประวัติศาสตร์ของราชวงศ์หมิงที่ระบุว่า “เนื่องจากหลอหูมีแสนยานุภาพสูง จึงได้ผนวกเอาดินแดนของเสียน และเรียกชื่อว่า เสียนหลอหู”
เมื่อ Paul Pelliot แปลบันทึกของโจวต้ากวนซึ่งเดินทางร่วมกับคณะราชทูตจีนไปยังกัมพูชาในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่๘ เขาระบุว่า ครั้นหลอหูยึดครอง “เสียน” ในปีเดียวกัน จีนจึงเรียกรัฐใหม่นี้ว่า“เสียนหลอ” ในเวลาต่อมา
พิเศษ เจียจันทร์พงษ์อธิบายว่า แคว้นสุพรรณภูมิตั้งอยู่ในเขตตะวันตกของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และมีอาณาเขตกระจัดกระจายอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำเพชรบุรีและแม่น้ำน้อยซึ่งเดิมเคยเป็นดินแดนของแคว้นนครชัยศรี โดยได้ย้ายศูนย์กลางเดิมจากเมืองนครชัยศรีหรือนครปฐมโบราณไปตั้งอยู่ที่เมืองสุพรรณภูมิหรือสุพรรณบุรีในปัจจุบัน[46] เนื่องจากลำน้ำบางแก้วซึ่งไหลผ่านเมืองนครชัยศรีเปลี่ยนเส้นทางเดิน ทำให้เรือใหญ่ไม่สามาถเข้าถึงได้โดยสะดวก ขณะที่เมืองสุพรรณภูมินั้นตั้งอยู่ริมแม่น้ำใหญ่คือ แม่น้ำสุพรรณบุรี สามารถติดต่อค้าขายทางทะเลและเมืองต่างๆในภูมิเดียวกันได้สะดวก ชื่อเมืองสุพรรณภูมิปรากฏอยู่ในหลักฐานต่างๆ อาทิ ศิลาจารึกหลักที่๑ ของสุโขทัย(กลางพุทธศตวรรษที่๑๙)และจารึกซึ่งพบที่เมืองชัยนาท(พุทธศตวรรษที่๒๑) แสดงให้เห็นถึงความสืบเนื่องทางวัฒนธรรม
ในสมัยอยุธยา พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยายืนยันให้เห็นถึงความสำคัญว่า แคว้นสุพรรณภูมิมีพระมหากษัตริย์ปกครองควบคู่กันมากับกรุงศรีอยุธยา เมืองสำคัญของแคว้นสุพรรณภูมิ ได้แก่ เมืองแพรกศรีราชาริมแม่น้ำน้อย(ในเขตจังหวัดชัยนาท) เมืองราชบุรี เมืองสิงห์บุรี และมีเมืองเพชรบุรีเป็นเมืองท่าคุมเส้นทางการค้าทางใต้ จดหมายเหตุจีนระบุว่าในปี พ.ศ.๑๗๗๗ มีทูตเสียนเดินทางจากเพชรบุรีไปยังจีน หลักฐานที่ยืนยันการติดต่อระหว่างจีนกับเพชรบุรีคือ การค้นพบเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ซ้องจำนวนมากในสถูปเจดีย์ที่เมืองเพชรบุรี
แคว้นสุพรรณภูมิอาจมีความสัมพันธ์กับ แคว้นสุโขทัยและนครศรีธรรมราชในฐานะที่เป็น “สมาพันธรัฐ” ซึ่งถูกเรียกรวมกันในจดหมายเหตุจีนประมาณพุทธศตวรรษที่๑๙ ว่า “เสียน” เครือข่ายของบ้านเมืองในเขตแคว้นอโยธยาครอบคลุมขึ้นไปทางเหนือของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสักและแม่น้ำเลย ได้แก่ นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย อุตรดิตถ์ และเพชรบูรณ์
การปกครองของแคว้นสุพรรณภูมิน่าจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับแคว้นอโยธยา คือประกอบด้วยเมืองหลวง เมืองลูกหลวงและเมืองที่มีความสำคัญรองลงไป พระนามเฉพาะของพระมหากษัตริย์แห่งแคว้นสุพรรณภูมิ คือ สมเด็จพระบรมราชาธิราช ส่วนผู้ปกครองเมืองลูกหลวงก็จะทรงมีพระนามว่า “พระอินทราชา”
แคว้นสุโขทัย
แคว้นสุโขทัย
ตำราประวัติศาสตร์ก่อนระยะ ๑๐ ปีเศษที่ผ่านมามักระบุว่า อาณาจักรอ้ายลาวและอาณาจักรน่านเจ้าทางตอนใต้ของประเทศจีนเป็นรัฐที่ปกครองโดยคนไทยเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่๘-๑๕ ข้อเสนอเกี่ยวกับทฤษฎีการอพยพของชนชาติไทยจึงเรื่องราวของอาณาจักรอ้ายลาวและน่านเจ้าปรากฏอยู่ด้วยเสมอ อาทิ งานค้นคว้าของ W.A.R.Wood เรื่อง “A History of Siam” [26] งานค้นคว้าของ M. Carthew เรื่อง “The History of the Thai in Yunan” ตีพิมพ์ในวารสารสยามสมาคมฉบับพิเศษ
งานค้นคว้าของเดวิด เค. วายแอตต์ ก็กล่าวถึงเรื่องราวอาณาจักรน่านเจ้าเช่นกัน แต่เขาก็ได้ระบุว่า พระนามของผู้ปกครองแห่งอาณาจักรน่านเจ้า อาทิ พระเจ้าพี-ล่อ-โก๊ะ พระเจ้าโก๊ะ-ล่อ-ฝง พระเจ้าฝง-เจีย-อี้ พระเจ้าอี้-มู-ฉุน คล้ายคลึงกับธรรมเนียมการตั้งชื่อของชนเผ่าโล-โล หรือธิเบต-พม่า ไม่ใช่ธรรมเนียมของคนไทย
การดำเนินงานทางโบราณคดีทำให้มีการค้นพบหลักฐานประวัติศาสตร์และโบราณคดีในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยจำนวนมาก แต่ศิลาจารึกหลักที่๑(ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง)ก็เป็นหลักฐานสำคัญที่ทำให้สามารถอธิบายเรื่องราวประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัยได้ชัดเจน
ก.การก่อตัวของแคว้นสุโขทัย
แคว้นสุโขทัยตั้งอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำยม-ปิง-น่านและป่าสัก ครอบคลุมพื้นที่บริเวณภาคเหนือตอนล่าง ศูนย์กลางของแคว้นสุโขทัยอยู่ที่บริเวณลุ่มแม่น้ำยม หลักฐานศิลปะโบราณสถานและโบราณวัตถุมากมายบ่งชี้ให้เห็นความเป็นมาและความรุ่งเรืองของแคว้นแห่งนี้ แม้แต่เอกสารบางชิ้น อาทิ ตำนานพระพุทธสิหิงค์และศิลาจารึกจำนวนมากก็กล่าวถึงเรื่องราวของแคว้นสุโขทัย แต่ก็ไม่มีหลักฐานชิ้นใดให้รายละเอียดได้ครอบคลุมทุกด้าน
แคว้นสุโขทัย เป็นรัฐสำคัญที่มีหลักฐานชัดเจนว่า ชนชั้นผู้ปกครองเป็นคนเชื้อสายไท/ ไต(Tai/ Dai) ในระยะแรกแคว้นสุโขทัยอาจก่อตัวขึ้นร่วมสมัยกับรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่๗แห่งอาณาจักรกัมพูชา(พ.ศ.๑๗๔๒–๑๗๖๓)เป็นอย่างน้อยภายใต้การนำของราชวงศ์ศรีนาวนำถม[28] ศิลาจารึกหลักที่๒ ระบุว่าพ่อขุนศรีนาวนำถม “ปู่”ของพระศรีศรัทธราราชจุฬามณีผู้สร้างจารึกนี้ ทรงมีอำนาจเหนือเมืองสุโขทัยและเมืองศรีสัชนาลัย กล่าวคือ “ ปู่ชื่อพระยาศรีนาวนำถุม…เป็นพ่อ…เสวยราชในนครสองอัน อันหนึ่งชื่อนครสุโขทัย อันหนึ่งชื่อนครศรีสัชนาลัย…”
หลักฐานจารึกปราสาทพระขรรค์ของพระเจ้าชัยวรมันที่๗[30] กล่าวถึงการสร้างพระราชไมตรีระหว่างกัมพูชากับแคว้นสุโขทัยในรัชสมัยพ่อขุนศรีนาวนำถมขณะที่ทรงทำศึกกับอาณาจักรจามปาทางทิศตะวันออกว่า “…สำหรับผู้ที่พระองค์พระราชทานความมั่งคั่งบริบูรณ์แล้ว ก็ได้พระราชทานพระธิดาด้วย…” พ่อขุนผาเมืองโอรสของพ่อขุนศรีนาวนำถมคือผู้ที่ได้รับพระราชทานพระธิดา พร้อมด้วยพระแสงขรรค์ชัยศรีและพระนาม “ศรีอินทรบดินทราทิตย์”
เฉลิม ยงบุญเกิด ผู้แปลบันทึกการเดินทางของโจวต้ากวนว่าด้วยขนบธรรมเนียมและประเพณีของเจินละ(กัมพูชา)ในพุทธศตวรรษที่๑๘อธิบายว่า แคว้นสุโขทัยมีชื่อเรียกในภาษาจีนว่า “เสียม” หรือ “เสียน” ตรงกับข้อเสนอของศาสตราจารย์ ดร. ประเสริฐ ณ นคร ซึ่งอ้างหลักฐานจากจดหมายเหตุจีนชื่อ หยวนสื่อ(หนังสือประวัติศาสตร์ราชวงศ์หยวน ฉบับหอหลวงบรรพว่าด้วยประเทศเซียน) และหมิงสือลู่(หนังสือประวัติศาสตร์รายรัชกาลแห่งราชวงศ์หมิง) รวมถึงสารานุกรมท้องถิ่นและจดหมายเหตุเอกชนด้วย เช่น หนังสือหนานไห่จื้อ เป็นต้น
เดวิด เค. วายแอตต์ ( David K. Wyatt) ชี้ว่า แคว้นสุโขทัยเป็นอีกแคว้นหนึ่งในหลายแคว้นของชาวสยาม มีชื่อเรียกในหลักฐานเอกสารของจีนว่า “เสียม(Siem)”ขณะที่อาคม พัฒิยะและนิธิ เอียวศรีวงศ์เชื่อว่า “เสียน” ในหลักฐานบันทึกของวังต้ายวนหมายถึงแคว้นสุพรรณภูมิ วังต้ายวนบันทึกว่าในปี พ.ศ.๑๘๙๒ “เสียนยอมอ่อนน้อมต่อหลอฮู่(ละโว้) ”
หลังจากแคว้นสุโขทัยตกอยู่ภายใต้การยึดครองของขอมสบาดโขลญลำพงระยะหนึ่ง พ่อขุนบางกลางหาวเจ้าเมืองบางยาง และพ่อขุนผาเมืองเจ้าเมืองราดผู้ทรงสืบเชื้อสายกษัตริย์ราชวงศ์ศรีนาวนำถม ก็วางแผนขับไล่ขอมสบาดโขลญลำพงออกไป แผนดังกล่าวเริ่มขึ้นโดยพ่อขุนบางกลางหาวทรงนำทัพไปตั้งที่เมืองศรีสัชนาลัย ส่วนพ่อขุนผาเมืองได้ยกทัพไปตั้งที่บางขลง(หรือบางขลัง)ไม่ห่างจากเมืองศรีสัชนาลัยเท่าใดนัก เพื่อให้ดูประหนึ่งว่ากำลังมุ่งหน้าจะเข้าโจมตีสุโขทัย แล้วจึงอพยพชาวเมืองบางขลงไปไว้ที่เมืองราดและเมืองสากอได จากนั้นพ่อขุนผาเมืองได้นำทัพถอยมารวมกับทัพของพ่อขุนบางกลางหาวที่เมืองศรีสัชนาลัย ก่อนจะยกทัพกลับไปยังเมืองราดการกระทำดังกล่าวทำให้ขอมสบาดโขลญลำพงรีบยกทัพเข้าตีเมืองศรีสัชนาลัย พ่อขุนผาเมืองจึงได้โอกาสยกทัพบุกเข้าเมืองสุโขทัยสำเร็จต่อมาพ่อขุนผาเมืองทรงยกแคว้นสุโขทัยพร้อมทั้งถวายพระนาม“ศรีอินทรบดินทราทิตย์”แด่พ่อขุนบางกลางหาวผู้ทรงเป็นต้นราชวงศ์พระร่วง
ข. พัฒนาการทางการเมืองของแคว้นสุโขทัย
กรุงสุโขทัยมีกษัตริย์ปกครองทั้งสิ้น ๙ พระองค์ ปรากฏพระนามในจารึกหลักที่๑(จารึกพ่อขุนรามคำแหง)และจารึกหลักที่๔๕(จารึกปู่สบถหลาน) แต่จะกล่าวถึงเพียงรัชสมัยที่มีเหตุการณ์สำคัญ ดังนี้
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (ประมาณ พ.ศ.๑๗๙๓- ไม่ปรากฏปีสวรรคต)
พ่อขุนบางกลางหาวเสวยราชย์เป็นพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์พระร่วง ในรัชสมัยนี้เกิดเหตุการณ์ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดยกเข้ามาตีเมืองตาก พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ส่งกองทัพไปปราบปราม ครั้งนั้นขุนรามราชโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ทำยุทธหัตถีชนะขุนสามชน จึงได้รับพระราชทานนามว่า “พระรามคำแหง”
พ่อขุนรามคำแหง (พ.ศ.๑๘๒๒-๑๘๔๒) [40]
ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงระหว่างปีพ.ศ.๑๘๒๕–๑๘๓๐ พระเจ้าหยวนสีโจว(กุบไลข่าน)กษัตริย์จีนแห่งราชวงศ์หยวน(มองโกล)ได้ส่งทัพโจมตีดินแดนต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายครั้ง อาทิ รุกรานกัมพูชาในปีพ.ศ.๑๘๒๕ โจมตีพุกามในปีพ.ศ.๑๘๒๖และพ.ศ.๑๘๓๐ ทำสงครามกับตังเกี๋ยและจามปาระหว่างปีพ.ศ.๑๘๒๖–๑๘๒๘ ส่งผลให้รัฐหลายแห่งโดยเฉพาะพุกามและกัมพูชาต้องยินยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขทางการเมืองและการค้าของจีน พงศาวดารโยนกสะท้อนให้เห็นว่า ผลจากการเสื่อมคลายอำนาจทางการเมืองของพุกามและกัมพูชา ทำให้พ่อขุนรามคำแหง พ่อขุนมังรายและพ่อขุนงำเมือง “ตั้งพิธีกระทำสัตย์ต่อกันและกัน ณ ริมฝั่งน้ำขุนภู” นอกเหนือจากจะมีเหตุผลเพื่อการเป็นพันธมิตรซึ่งกันและกันแล้ว ยังเป็นการแบ่งเขตอิทธิพลทางการเมืองอย่างเด่นชัดอีกด้วย
ในปีพ.ศ.๑๘๒๕ จีนพยายามส่งราชทูตชื่อ เหอจื่อจื้อเข้ามาทวงเครื่องราชบรรณาการจากสุโขทัย แต่เรือกลับถูกพายุพัดเข้าไปยังอาณาจักรกัมพูชา ทำให้คณะทูตถูกจับฆ่าทั้งหมด แต่ในปีพ.ศ.๑๘๓๕ สุโขทัยได้ส่งคณะทูตชุดแรกไปติดต่อกับจีน ทำให้จีนส่งทูตเข้ามายังแคว้นสุโขทัยเป็นครั้งที่๒ในปีพ.ศ. ๑๘๓๖
หลักฐานศิลาจารึกหลักที่๑(จารึกพ่อขุนรามคำแหง)ระบุว่า ในปีพ.ศ.๑๘๒๖ พ่อขุนรามคำแหงได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น จารึกหลักนี้ระบุว่าพ่อขุนรามคำแหงทรงเป็น “นักปราชญ์รู้ธรรม”ตรงกับข้อความในศิลาจารึกหลักที่๒ คือ “ลูกพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ผู้หนึ่ง ชื่อพ่อขุนรามราชปราชญ์รู้ธรรม” นอกจากนี้พ่อขุนรามคำแหงยังทรงสงเคราะห์ประชาชนด้วยการไม่เก็บภาษีจกอบ ไม่ประหารเชลยศึก ไม่เบียดเบียนทรัพย์สินของพลเมือง กำหนดสิทธิการสืบทอดมรดก และทรงผดุงความยุติธรรมในการตัดสินอรรถคดีความดังปรากฏในศิลาจารึกหลักที่๑ว่า “ไพร่ฟ้าลูกเจ้าลูกขุนผิแลผิดแผกแสกว้างกัน สวนดูแท้แลจึ่งแล่งความแก่ขาด้วยซื่อ บ่เข้าผู้ลักมักผู้ซ่อน” เป็นต้น บทบาทสำคัญอีกประการหนึ่งของพ่อขุนรามคำแหงคือ การทรงศีลในวันสำคัญทางศาสนา การสร้างขดารหินเพื่อให้พระเถระแสดงธรรมในวันพระ อีกทั้งยังทรงว่าราชการบนขดารหินนั้นด้วย อันชี้ให้เห็นถึงการปกครองแบบทศพิธราชธรรมในรัชสมัยของพระองค์
สมเด็จพระมหาธรรมราชาที่๑ (พระเจ้าลิไทย)
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร กล่าวในบทความชื่อ “ประวัติศาสตร์สุโขทัยจากจารึก” ตอนหนึ่งว่า เมื่อพ่อขุนรามคำแหงสวรรคตแล้ว อาณาจักรสุโขทัยแตกเป็นเมืองเล็กเมืองน้อยและแยกตัวเป็นอิสระ อาทิ เมือง เชียงทอง(ตาก) และเมืองพระบาง(นครสวรรค์) สมเด็จพระมหาธรรมราชาที่๑ จึงทรงรวบรวมอาณาจักรสุโขทัยขึ้นเป็นปึกแผ่นครอบคลุมระหว่างแม่น้ำปิง แม่น้ำน่านและแม่น้ำป่าสัก เมืองต่างๆที่อยู่ในอาณาเขตของแคว้นสุโขทัย ได้แก่ เชียงทอง กำแพงเพชร พระบาง ปากยม(พิจิตร) สองแคว สระหลวง(พิษณุโลก) เมืองราด สะค้า ลุมบาจายและน่าน
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ระบุว่าในปีพ.ศ.๑๙๒๑ ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาที่๒ แคว้นสุโขทัยตกเป็นประเทศราชของกรุงศรีอยุธยา ต่อมาสมเด็จพระมหาธรรมราชาที่๓(ไสยลือไทย)ทรงประกาศเอกราชในปี พ.ศ. ๑๙๔๓ แต่ในปีพ.ศ.๑๙๕๓ ก็ตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยาถึงพ.ศ.๑๙๘๑ จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๐๐๖ สุโขทัยจึงถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา
แคว้นล้านนา
แคว้นล้านนา
นักวิชาการเสนอความเห็นว่า ความขัดแย้งของแว่นแคว้นต่างๆในดินแดนประเทศไทย และประเทศใกล้เคียงตั้งแต่พุทธศตวรรษที่๑๖–๑๘ ทำให้ศูนย์อำนาจเดิมที่คยยิ่งใหญ่ครอบคลุมภูมิภาคแห่งนี้มีสภาพเสื่อมถอย จึงเป็นโอกาสที่ทำให้เกิดแคว้นอิสระภายใต้การนำของชนกลุ่มใหม่ขึ้นมามีอำนาจแทนที่ หลักฐานประวัติศาสตร์ระบุว่าแคว้นสำคัญที่มีพัฒนาการขึ้นในระยะใกล้เคียงกันคือ แคว้นล้านนาและแคว้นสุโขทัย
เมื่อพระเจ้ามังรายทรงผนวกดินแดนของแคว้นหริภุญชัยเข้ามาอยู่ในอำนาจทางการเมืองของพระองค์สำเร็จ ภายใต้การสนับสนุนของพ่อขุนงำเมืองแห่งแคว้นพะเยาและพ่อขุนรามคำแหงแห่งกรุงสุโขทัย พระองค์ได้สถาปนาเมืองเชียงใหม่ขึ้นในปีพ.ศ.๑๘๓๙ เพื่อเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและการปกครองของอาณาจักรล้านนา แคว้นหริภุญชัยจึงมีฐานะเป็นเมืองศูนย์กลางทางศาสนาพุทธนิกานหินยานแทน
ตำนานพื้นเมืองล้านนาระบุว่า ถิ่นฐานเดิมของพระเจ้ามังรายอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำกกในเขตจังหวัดเชียงราย กลุ่มชนเจ้าของวัฒนธรรมล้านนาประกอบด้วยชาวไทยลื้อหรือไทยเมืองซึ่งในระยะแรกได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในเขตจังหวัดเชียงรายบริเวณอำเภอเชียงแสน แล้วขยายตัวออกไปในเขตอำเภอเวียงชัย พวกไทยลื้อได้เข้าไปผสมผสานกับกลุ่มชนในที่สูงตระกูลลาวจกในเขตอำเภอแม่จันและอำเภอแม่สาย จากนั้นจึงขยายตัวเข้าไปในเขตเมืองพะเยาและเมืองน่าน โดยยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางเครือญาติและมีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับภูมิปัญญาด้านระบบการชลประทานแบบเหมืองฝาย
แคว้นล้านนาเป็นแคว้นสำคัญทางดินแดนภาคเหนือของประเทศไทยซึ่งมีพัฒนาการร่วมสมัยกับแคว้นสุโขทัยและอยุธยา บางสมัยดินแดนของแคว้นแห่งนี้ขยายออกไปถึงแคว้นสิบสองปันนา(ยูนนาน)และพื้นที่บางส่วนของรัฐไทยใหญ่(รัฐฉานในประเทศพม่า) ส่วนทางทิศใต้นั้นอาณาเขตของแคว้นล้านนาครอบคลุมมาจนถึงเมืองแพร่ เมืองน่านและเมืองตาก ประมาณต้นพุทธศตวรรษที่๒๔ ล้านนาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าเป็นช่วงเวลาสั้น ต่อมาก็ตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงรัตนโกสินทร์ จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่๕ เมื่อรัฐบาลสยามดำเนินการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินด้วยการยุบหัวเมืองประเทศราช ล้านนาจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐประชาติสยามสืบมา
แคว้นหริภุญชัย
แคว้นหริภุญชัย
หนังสือชินกาลมาลีปกรณ์และตำนานจามเทวีวงศ์เป็นเอกสารสำคัญที่สะท้อนให้เห็นพัฒนาการของการ“สร้างบ้านแปงเมือง”ในดินแดนภาคเหนือของประเทศไทยบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำปิงตั้งแต่จังหวัดเชียงใหม่และลำพูนเรื่อยลงมาถึงลุ่มแม่น้ำวังในเขตจังหวัดลำปางเมื่อพุทธศตวรรษที่๑๓ โดยระบุถึงการที่ฤาษีวาสุทพได้อัญเชิญพระนางจามเทวีแห่งกรุงละโว้เสด็จฯขึ้นไปครองแคว้นหริภุญชัยพร้อมกับนำความเชื่อทางศาสนาพุทธ วัฒนธรรมและความเจริญทางศิลปวิทยาการขึ้นไปเผยแพร่ด้วย แคว้นหริภุญชัยมีกษัตริย์ปกครองสืบทอดมาจนถึงพุทธศตวรรษที่๑๙ ก็หมดอำนาจลงเนื่องจากถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นล้านนา
อาณาเขตของแคว้นหริภุญชัยมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมากเนื่องจากมีข้อจำกัดด้านภูมิประเทศที่แวดล้อมด้วยเทือกเขาสูง สภาพแวดล้อมดังกล่าวยังส่งผลทำให้บ้านเมืองซึ่งอยู่ใกล้เคียงมีขนาดเล็กและไม่มีกำลังพลเพียงพอต่อการคุกคามฐานะความเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่อารยธรรมและศิลปวิทยาการของหริภุญชัยไปยังที่ต่างๆอีกด้วย อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากราชวงศ์จามเมวีที่ปกครองแคว้นหริภุญชัยตั้งแต่ยุคแรกแล้ว หริภุญชัยยังมีกษัตริย์จากราชวงศ์อื่นเข้ามาปกครองด้วย เช่น ราชวงศ์ของพระเจ้าอาทิตย์ราชและราชวงศ์ไทยอำมาตย์ เป็นต้น
พระมหากษัตริย์พระองค์สำคัญของแคว้นหริภุญชัย ได้แก่ พระเจ้าอาทิตย์ราชเป็นผู้สร้างพระธาตุหริภุญชัย และพระเจ้าสัพพาสิทธิ์ผู้ทรงมีบทบาททำให้แคว้นหริภุญชัยมีความสำคัญในฐานะศูนย์ทางศาสนาพุทธในดินแดนภาคเหนือตอนบน กษัตริย์พระองค์สุดท้ายของแคว้นหริภุญชัยคือพระยายีบาแห่งราชวงศ์ไทยอำมาตย์ซึ่งครองราชย์ในช่วงที่แคว้นหริภุญชัยถูกพระยามังรายยึดครองในตอนกลางพุทธศตวรรษที่๑๙
แคว้นนครศรีธรรมราช
แคว้นนครศรีธรรมราช
จดหมายเหตุจีนในพุทธศตวรรษที่๑๓เรียกแคว้นนครศรีธรรมราชว่า “ตัน-หม่า-หลิง” หรือ“ตัน-เหมย-หลิว” เอกสารของจีนระบุว่าแคว้นตัน-หม่า-หลิงแยกตัวมาจากแคว้นลัง-ยะ-สิว(ลังกาสุกะหรือหลั่ง-เจีย-ซู)ทางทิศเหนือ จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่าชื่อตัน-หม่า-หลิงในเอกสารจีนตรงกับชื่อแคว้นตามพรลิงค์ในเอกสารของอินเดีย ลังกาและศิลาจารึกที่พบในท้องถิ่นคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศไทย
แคว้นนครศรีธรรมราช อาจมีพัฒนาการมาก่อนพุทธศตวรรษที่๑๙ เนื่องจากเมื่อพวกโจฬะเข้ามามีอิทธิพลในดินแดนคาบสมุทรมลายูแทนแคว้นศรีวิชัยในพุทธศตวรรษที่๑๖แล้ว พวกโจฬะได้ย้ายศูนย์กลางทางการเมือง การปกครองและการค้าจากฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรมลายูมายังเมืองนครศรีธรรมราช ทำให้เมืองนครศรีธรรมราชกลายเป็นศูนย์อำนาจเข้มแข็งที่สุดในคาบสมุทรมลายู
ในพุทธศตวรรษที่๑๘ แคว้นนครศรีธรรมราชถูกปกครองโดยราชวงศ์ปัทมวงศ์ หลักฐานศิลาจารึกและตำนานพงศาวดารของภาคใต้ระบุว่าพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์ปัทมวงศ์ทรงพระเกียรติยศดุจดังพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย ด้วยเหตุนี้พระมหากษัตริย์แห่งแคว้นนครศรีธรรมราชจึงมักทรงพระนามว่าพระเจ้าศรีธรรมโศกราช ซึ่งมาจากรากศัพท์ว่า “ศรี + ธรรมะ + อโศกะ + ราชะ”
แคว้นนครศรีธรรมราชมีอำนาจครอบคลุมเกือบตลอดทั้งแหลมมลายู ตำนานเมืองนครศรีธรรมราชกล่าวว่าเขตแดนของแคว้นนครศรีธรราชประกอบด้วยเมืองต่างๆ ๑๒ เมือง เรียกว่าเมือง ๑๒ นักษัตริย์ ได้แก่ ปัตตานี กลันตัน ปะหัง ไทรบุรี พัทลุง ชุมพร บันทายสมอ สะอุเลา ตะกั่วป่าและเมืองกระ แคว้นนครศรีธรรมราชเป็นศูนย์ทางความเชื่อเนื่องในศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธนิกายมหายานและหินยาน ศิลาจารึกหลักที่๑ของสุโขทัยกล่าวว่า นครศรีธรรมราชเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พุทธศาสนาไปยังแคว้นสุโขทัย
แคว้นศรีวิชัย
แคว้นศรีวิชัย
บันทึกของหลวงจีนอี้จิงซึ่งเดินทางไปอินเดียระหว่างพ.ศ.๑๒๑๓–๑๒๑๖ ระบุว่า แคว้นชิ-ลิ-โฟ-ชิ หรือเช-ลิ-โฟ-ชิหรือสัน-โฟ-ชิหรือโฟ-ชิ เป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญ อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการนับถือศาสนาพุทธนิกายหินยานและศูนย์กลางการศึกษาภาษาสันสกฤตเบื้องต้น เมื่อหลวงจีนอี้จิงเดินทางกลับจากอินเดียในปีพ.ศ.๑๒๓๑ จึงได้แวะพำนักเป็นเวลา ๗ ปี และเดินทางกลับไปยังประเทศจีนในปีพ.ศ.๑๒๓๘ [20]
ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ ระบุว่า เช-ลิ-โฟ-ชิ หมายถึง อาณาจักรศรีวิชัย แต่นักวิชาการก็ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ว่า ศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยตั้งอยู่ในคาบสมุทรทางภาคใต้ของไทยในพื้นที่อำเภอไชยา (สุราษฎร์ธานี)หรืออยู่เมืองปาเล็มบัง ในเกาะสุมาตราของประเทศอินโดนีเซีย
ประมาณพุทธศตวรรษที่๑๓–๑๖ ปรากฏหลักฐานการเผยแผ่อิทธิพลศาสนาของพุทธศาสนานิกายมหายานจากนาลันทาแพร่เข้ามายังอาณาจักรศรีวิชัย นอกจากนี้แคว้นศรีวิชัยในคาบสมุทรมลายูยังมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกันกับอาณาจักรในเกาะชวาภาคกลางของอินโดนีเซียด้วย บันทึกของเจาจูกัวกล่าวว่าศรีวิชัยกลับมามีความรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่งในปีพ.ศ. ๑๔๔๘ และจีนเรียกศรีวิชัยว่า “ซาน-โฟ-ชิ” หรือสามวิชัย เมืองขึ้นสำคัญของศรีวิชัยสามเมืองคือ ตัน-หม่า-หลิง หลั่ง-ยะ-สิเจียและโฟ-ลู-อัน แคว้นศรีวิชัยหมดอำนาจลงประมาณพุทธศตวรรษที่๑๖ เมื่อถูกโจมตีจากพวกโจฬะหรือทมิฬจากอินเดียตอนใต้
พิเศษ เจียจันทร์พงศ์เชื่อว่าอาณาจักรศรีวิชัยอยู่ในหมู่เกาะของประเทศอินโดนีเซียปัจจุบันนักวิชาการจึงเพียงแต่เสนอสมมติฐานว่า อาณาจักรศรีวิชัยมีศูนย์กลางของราชธานีที่สามารถเคลื่อนย้ายไปตามเมืองท่าสำคัญๆระหว่างคาบสมุทรทางภาคใต้ของไทยและเกาะสุมาตรา
แคว้นทวารวดี
แคว้นทวารวดี
หลวงจีนเหี้ยน-จาง หรือเหยียน-จางหรืองซวน-ท้ง หรือพระถังซำจั๋ง เดินทางไปแสวงบุญยังอินเดียทางบกในพุทธศตวรรษที่๑๒ และหลวงจีนอี้จิงซึ่งเดินทางไปอินเดียทางทะเลในพุทธศตวรรษที่๑๓ตรงกับสมัยราชวงศ์ถัง[15] นักบวชทั้งสองรูปกล่าวถึงบ้านเมืองต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนี้
“แคว้นลัง-ยะ-สิว ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแคว้นชิ-หลี-ตา-ซา-ล้อ ทางทิศตะวันออกของแคว้นลัง-ยะ-สิว คือแคว้นโต-โล-โป-ตี(To-lo-po-ti) หรือชิ-โห-โป-ตี[16] หรือโฉ-โห-โป-ตี [17] ทางทิศตะวันออกของแคว้นโต-โล-โป-ตี คือแคว้นอี-ซี-นา-โป-โล และแคว้นมอ-โห-เจียม-โปหรือหลิน-ยี่”[18]
แคว้นชิ-หลี-ตา-ซา-ล้อ คือ แคว้นศรีเกษตร ตั้งอยู่ในประเทศพม่า แคว้นอี-ซี-นา-โป-โล คือ แคว้นอีสานปุระ แคว้นมอ-โห-เจียม-โป คือ แคว้นจามปาในประเทศเวียดนาม ส่วนแคว้นโต-โล-โป-ตี หรือชิ-โห-โป-ตี หรือโฉ-โห-โป-ตี มีหลักฐานชัดเจนว่า คือ แคว้นทวารวดี ตั้งอยู่ในดินแดนภาคกลางของประเทศไทย
นักวิชาการมีข้อคิดเห็นแตกต่างกันออกไปเกี่ยวกับที่ตั้งของแคว้นทวารวดี วินัย พงศ์ศรีเพียร เห็นว่าแคว้นทวารวดีมีศูนย์กลางอยู่ที่ภูมิภาคตะวันตกของดินแดนประเทศไทย น่าจะหมายถึงเมืองนครชัยศรีหรือเมืองนครปฐมโบราณ ส่วนเมืองลวปุระในจารึกสมัยทวารวดี น่าจะเป็นเมืองลโวทยปุระซึ่งถูกอิทธิพลทางการเมืองของกัมพูชาแผ่เข้ามาครอบครองในพุทธศตวรรษที่๑๖
หลักฐานที่ปรากฏแสดงให้เห็นร่องรอยของวัฒนธรรมสมัยทวารวดีซึ่งแพร่กระจายทั่วไปในดินแดนประเทศไทยระหว่างพุทธศตวรรษที่๑๒–๑๖ ทั้งในภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ ลักษณะร่วมทางวัฒนธรรมสมัยทวารวดีคือ มีร่องรอยการตั้งถิ่นฐานชุมชนแบบคูน้ำคันดินล้อมรอบแบบวงกลมหรือวงรีหรือแบบสี่เหลี่ยมมุมมนล้อมรอบ เมืองโบราณสมัยทวารวดี ได้แก่ เมืองนครชัยศรี เมืองอู่ทอง เมืองคูบัว(ราชบุรี) เมืองคูเมือง(สิงห์บุรี) เมืองฟ้าแดดสงยาง(กาฬสินธุ์) ฯลฯ
ความเชื่อทางศาสนาที่แพร่หลายในแคว้นทวารวดีคือพุทธศาสนานิการเถรวาท “หลักฐานสำคัญที่พบ คือ จารึกคาถา “เยธัมมา เหตุปัปภวา” อันเป็นหัวใจของพุทธศาสนาซึ่งปรากฏเฉพาะในคัมภีร์ของศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเท่านั้น คาถาเยธัมมนาถูกจารึกในที่ต่างๆ อาทิ บนธรรมจักรศิลาและแผ่นอิฐ เป็นต้น
วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
สัปดาห์ที่ 17-บุคคลสำคัญสมัยอยุธยา
บุคคลสำคัญสมัยอยุธยา
- การที่ประเทศไทยของเราสามารถดำรงอยู่ได้อย่างน่าภาคภูมิใจในสังคมโลกปัจจุบันนี้ได้นั้น ก็เพราะว่าแต่ละยุคสมัยที่ผ่านมาเราคนไทยมีบรรพบุรุษที่มีความกล้าหาญเสียสละในการปกป้องและ สร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและสังคมมาโดยตลอด ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึง สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและชาวบ้านบางระจัน เป็นตัวอย่างของพระมหากษัตริย์และประชาชน สมัยอยุธยาที่ทำประโยชน์ต่อบ้านเมือง อันสมควรที่เยาวชนคนไทยทั้งหลายจะยกย่องสรรเสริญ และยึดถือเป็นแบบอย่าง
อนุสาวรีย์วีรชนชาวบ้านบางระจัน
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ.2133 - 2148)
- สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นพระอัจฉริยะบุคคลอย่างเต็มภาคภูมิ ในยุคสมัยของพระองค์ ทรงเป็นนักการทหารที่มีพระปรีชาสามารถสูงเยี่ยม จนเป็นที่เล่าขานของคนร่วมสมัยทั่วไป พระองค์เป็นสัญลักษณ์ของความเด็ดเดี่ยว กล้าเผชิญปัญหา ที่สำคัญยิ่งอีกประการหนึ่งคือ ทรงเป็นแบบฉบับของนักการปกครอง ที่ทรงอุทิศพระองค์เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินไทย โดยคำนึงถึงความสุขสบาย ส่วนพระองค์เลย จนวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ
พระราชประวัติ
- พระนเรศวรทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชและพระวิสุทธิ์กษัตรี ประสูติที่เมืองพิษณุโลกเมื่อ พ.ศ. 2098 ทรงมีพระพี่นางหนึ่งองค์และพระอนุชาผู้ซึ่งครองราชย์ สมบัติต่อมาคือ สมเด็จพระเอกาทศรถ
- พระนเรศวรถูกส่งไปเป็นตัวประกันที่เมืองพะโค(หงสาวดี) เมื่อพระชนมายุ 9 พรรษา ในคราวที่พระเจ้าบุเรงนองกษัตริย์พม่า ยกทัพมาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือและยึดเมืองพิษณุโลกไว้ได้และต่อมาก็ตีกรุงศรีอยุธยาได้ในปี พ.ศ. 2112 พระมหาธรรมราชาธิราชได้ขึ้นครองราชย์สมบัติในฐานะเมืองขึ้นของพม่า
- สมเด็จพระนเรศวรได้เสด็จกลับมากรุงศรีอยุธยา เมื่อพระชนมายุ 16 พรรษา โดยได้รับการ สถาปนาให้เป็นเจ้าเมืองพิษณุโลก มีตำแหน่งในฐานะอุปราชหรือวังหน้า เมื่อพระราชบิดาเสด็จ สวรรคต พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์สมบัติขณะมีพระชนมายุได้ 35 พรรษา
- ทรงเสด็จสวรรคตที่เมืองฉาง รัฐฉานในพม่า เมื่อ พ.ศ. 2148 พระชนมพรรษาได้ 50 พรรษา พระอนุชาคือพระเอกาทศรถได้เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติสืบต่อมาพระเกียรติคุณ
- สมเด็จพระนเรศวรทรงเป็นที่รู้จักในฐานะ "วีรกษัตริย์" หรือในพระนาม "พระองค์ดำ" ทรงพระปรีชาสามารถในการสงครามและการปกครอง อีกทั้งพระองค์ยังเป็นนักการต่างประเทศที่ทรงพระปรีชาสามารถในการดำเนินนโยบายอย่างกล้าหาญอีกด้วย
- ในช่วงที่เสด็จกลับมาจากพม่า สมเด็จพระมหาธรรมราชาทรงมอบหมายให้พระองค์เสด็จไปปกครองหัวเมืองเหนือ โดยประทับอยู่ที่เมืองพิษณุโลก ในระยะเวลา 14 ปีที่ทรงปกครองหัวเมืองเหนือนั้นพระองค์ดำเนินการหลายอย่าง ที่เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการสงครามกอบกู้เอกราช เช่น ฝึกทหาร รวบรวมกำลังคนที่หลบหนีพม่าเข้าป่า ฝึกฝนยุทธวิธีการรบต่าง ๆ
- สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงแสดงพระปรีชาสามารถในการช่วยกษัตริย์พม่ารบหลายครั้ง เช่น การปราบเจ้าฟ้าไทยใหญ่เมืองดังได้สำเร็จ ทำให้เป็นที่ไม่ไว้วางใจของพม่าและวางแผนที่จะลอบปลง พระชนม์ แต่พระองค์ทรงล่วงรู้ถึงแผนการเสียก่อน ดังนั้นพระองค์จึงทรงประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นกับพม่าที่เมืองแครง ในปี พ.ศ. 2127
พระเกียรติคุณ
- สมเด็จพระนเรศวรทรงเป็นที่รู้จักในฐานะ "วีรกษัตริย์" หรือในพระนาม "พระองค์ดำ" ทรงพระปรีชาสามารถในการสงครามและการปกครอง อีกทั้งพระองค์ยังเป็นนักการต่างประเทศที่ทรงพระปรีชาสามารถในการดำเนินนโยบายอย่างกล้าหาญอีกด้วย
- ในช่วงที่เสด็จกลับมาจากพม่า สมเด็จพระมหาธรรมราชาทรงมอบหมายให้พระองค์เสด็จไปปกครองหัวเมืองเหนือ โดยประทับอยู่ที่เมืองพิษณุโลก ในระยะเวลา 14 ปีที่ทรงปกครองหัวเมืองเหนือนั้นพระองค์ดำเนินการหลายอย่าง ที่เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการสงครามกอบกู้เอกราช เช่น ฝึกทหาร รวบรวมกำลังคนที่หลบหนีพม่าเข้าป่า ฝึกฝนยุทธวิธีการรบต่าง ๆ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงแสดงพระปรีชาสามารถในการช่วยกษัตริย์พม่ารบหลายครั้ง เช่น การปราบเจ้าฟ้าไทยใหญ่เมืองคังได้สำเร็จ ทำให้เป็นที่ไม่ไว้วางใจของพม่าและวางแผนที่จะลอบปลง พระชนม์ แต่พระองค์ทรงล่วงรู้ถึงแผนการเสียก่อน ดังนั้นพระองค์จึงทรงประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นกับพม่าที่เมืองแครง ในปี พ.ศ. 2127
ด้านการปกครอง
- เมื่อขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา สมเด็จพระนเรศวรได้เริ่มขยายอำนาจไปยังเมืองต่าง ๆ เช่น ล้านช้าง เชียงใหม่ ลำปางและกัมพูชาได้ตกเป็นเมืองขึ้นของอยุธยา
- เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการศึกสงครามหลายครั้ง รวมทั้งความพยายามฟื้นฟูอยุธยาหลังจากที่ถูก ปกครองโดยพม่า ทำให้พระองค์ทรงดำเนินนโยบายการปกครองที่เน้นระเบียบวินัยเข้มงวด
- นอกจากนี้ ทรงดำเนินนโยบายการปกครองแบบดึงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง โดยส่งขุนนางออกไปปกครองเมือง สำคัญต่าง ๆ เช่น เมืองพิษณุโลก เมืองสุโขทัย เมืองพิชัย
การขยายแสนยานุภาพทางการทหาร
- สมเด็จพระนเรศวรทรงกระทำศึกสงครามเพื่อปกป้องบ้านเมืองตั้งแต่ก่อนขึ้นครองราชย์สมบัติ และเกือบตลอดรัชสมัยที่ทรงครองราชย์ ทั้งการสงครามกับพม่าและเขมรที่ยกกองทัพเข้ามารุกราน หัวเมืองของอาณาจักรอยุธยา ดังที่ชาวต่างชาติชาวฮอลันดาที่เข้ามายังกรุงศรีอยุธยาได้พรรณนา เกี่ยวกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชว่า ทรงเป็นนักรบที่เก่งกาจ เป็น "วีรบุรุษนักรบ" ทรงรบชนะข้าศึก หลายครั้งและในหลายดินแดน
การขยายอำนาจทางการทหารของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
- ทำให้เขตแดนอาณาจักรอยุธยา แผ่ขยายออกไปกว้างไกลที่สุดนับแต่สถาปนาอาณาจักรขึ้นมา ครอบคลุมทั้งเขตแดนมอญ พม่า ล้านนา ไทยใหญ่ ล้านช้างและเขมร พระองค์ทรงอุทิศเวลาตลอดรัชสมัยในการทำสงครามเสริมสร้างความมั่นคงและความยิ่งใหญ่ให้กับอยุธยา จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ
เหตุการณ์สงครามยุทธหัตถี
- พ.ศ. 2135 กองทัพพม่าโดยพระมหาอุปราชาพระโอรสของพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง เป็นแม่ทัพ คุมไพร่พลจำนวน 240,000 คน มาทางด่านเจดีย์สามองค์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยกทัพออกไป รับศึกที่บ้านหนองสาหร่าย เมืองสุพรรณบุรี สงครามครั้งนี้มีความสำคัญและเป็นที่เลื่องลือในการสู้รบระหว่างสองอาณาจักร นั้นคือสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาแม่ทัพพม่า ที่บ้านหนองสาหร่าย สุพรรณบุรี และทรงใช้พระแสงของ้าวฟัน์ พระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์บนคอช้าง ทัพพม่าแตกพ่ายกลับไปและหลังจากสงครามครั้งนี้กรุงศรีอยุธยาว่างเว้นการสงครามกับพม่าเป็นเวลานานมากกว่า 150 ปี
ด้านการต่างประเทศ
- สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงพยายามรักษาความสัมพันธ์อันดีกับต่างประเทศทั้งด้านการฑูต และการค้า พระองค์ทรงตระหนักถึงความสำคัญของการค้านานาชาติเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการค้าทางทะเลเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจอยุธยาซึ่งได้รับความเสียหายจากสงคราม
- การฟื้นฟูกรุงศรีอยุธยา ประการหนึ่งของพระองค์ก็คือ ทรงอนุญาตให้พ่อค้าชาวต่างชาติโดยเฉพาะพ่อค้าตะวันตกเข้ามาค้าขายในกรุงศรีอยุธยา ชาวต่างชาติที่เข้ามาในรัชสมัยนี้ คือ ชาวดัตซ์หรือฮอลันดา พระองค์ทรงโปรด ฯ ให้ฮอลันดาเข้ามาตั้งสถานีการค้าที่อยุธยาและเมืองอื่น ๆ เช่น ภูเก็ต นครศรีธรรมราช สงขลา
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
พระราชประวัติ
- สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิบดีที่ 2 (เจ้าสามพระยา) กับพระราชธิดาของพระมหาธรรมราชาที่ 2 แห่งสุโขทัย พระองค์จึงเป็นเชื้อสายราชวงศ์สุพรรณบุรีและราชวงศ์พระร่วง ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งของอยุธยา
พระราชกรณียกิจที่สำคัญ
1. การรวมอาณาจักรสุโขทัยเข้ากับอยุธยา
- เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถขึ้นเสวยราชย์ใน พ.ศ. ๑๙๙๑ นั้น ทางสุโขทัยไม่มีพระมหาธรรมราชาปกครองแล้ว คงมีแต่พระยายุทธิษเฐียร พระโอรสของพระมหาธรรมราชาที่ ๔ ได้รับแต่งตั้งจากอยุธยาให้ไปปกครองเมืองพิษณุโลก ถึง พ.ศ. ๑๙๙๔ พระยายุทธิษเฐียรไปเข้ากับพระเจ้าติโลกราชแห่งล้านนา พระราชมารดาของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ปกครองเมืองพิษณุโลกต่อมาจนสิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ.๒๐๐๖ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้เสด็จไปประทับที่พิษณุโลกและถือว่าอาณาจักรสุโขทัยถูกรวมเข้ากับอาณาจักรอยุธยานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
2. ด้านการปฏิรูปการปกครอง
- สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถมีพระประสงค์ที่จะดึงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางหรือราชธานี จึงลดบทบาทของเจ้านายลงและเพิ่มอำนาจให้ขุนนาง เพื่อป้องกันการแย่งชิงอำนาจจากเชื้อพระวงศ์ เช่น ลดฐานะเมืองลูกหลวง เมืองหลานหลวงลงเป็นเมืองชั้นจัตวาและส่งขุนนางไปปกครองแทนเจ้านาย มีการแยกฝ่ายทหารและพลเรือนโดยใช้ขุนนางตำแหน่งสมุหพระกลาโหมดูแลกิจการฝ่ายทหาร สมุหนายกดูแลกิจการฝ่ายพลเรือนทั่วราชอาณาจักร
- ทรงตรากฎมนเทียรบาลขึ้นเพื่อความมั่งคงของสถาบันกษัตริย์ นอกจากนี้ยังทรงตราพระราชกำหนดศักดินาได้แก่ พระอัยการตำแหน่งนาพลเรือนและพระอัยการตำแหน่งนาทหารหัวเมือง พ.ศ. ๑๙๙๘ เพื่อประโยชน์ในการลำดับชั้นของบุคคลว่ามีศักดิ์ สิทธิ์ และอำนาจหน้าที่ต่างกันอย่างไร เป็นการจัดระเบียบการปกครองให้มีแบบแผนรัดกุมกว่าเดิม
- ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ อยุธยาทำสงครามยืดเยื้อกับอาณาจักรล้านนา ซึ่งมีพระเจ้าติโลกราชเป็นกษัตริย์ (ครองราชย์ พ.ศ. ๑๙๘๔ - ๒๐๓๐) ทำให้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถประทับที่เมืองพิษณุโลกนานถึง ๒๕ ปี เพื่อดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือและเพื่อความสะดวกในการป้องกันการรุกรานของล้านนา ในระยะนี้จึงถือว่าเมืองพิษณุโลกมีฐานะเป็นราชธานีของอาณาจักรอยุธยา
- สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถสวรรคตใน พ.ศ. 2031 ทรงอยู่ในราชสมบัติ 40 ปี นับว่านานที่สุดในบรรดากษัตริย์อยุธยาทุกพระองค์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)